การพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคมในเอเชียแปซิฟิก

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsZrbrCuHtzVwm3g2RXcC8xaEWIMch0utD6WSa4NlpOEBNEP1g9mOCje8SiBqpEduzN263-mz0AeuEVtHXi7Qd5OKZo39A9tHmN-i73rkIPa5g3VLxGIl9xVGQqXy5pi0L_X843pDqvTQ/s320/Thailand+diabetic+retinopathy.jpg Kent Walker Kent Walker, Senior Vice President of Global Affairs, Google Google

ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากกว่า 400 ล้านคน โดย 1 ใน 3 มีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (diabetic retinopathy) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจทำให้ตาบอดถาวรได้ ข่าวดีก็คือโรคตาบอดชนิดนี้ป้องกันได้หากตรวจพบภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวมักจะไม่ค่อยถูกตรวจพบเนื่องจากไม่มีการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากข้อจำกัดในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาและเจ้าหน้าที่ที่สามารถตรวจคัดกรองโรคได้ ตัวอย่างเช่นในประเทศไทยมีผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาอยู่ประมาณ 1,400 คนเท่านั้น ในขณะที่ทั้งประเทศมีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากกว่า 5 ล้านราย

AI ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาในอินเดียและสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับระบบ AI ที่ช่วยให้แพทย์วิเคราะห์ภาพด้านหลังของดวงตาเพื่อหาสัญญาณของภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ผลลัพธ์มีแนวโน้มที่ดี ระบบ AI สามารถตรวจพบภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้อย่างถูกต้องแม่นยำเทียบเท่ากับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญด้านจอประสาทตา ซึ่งหมายความว่าแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จะใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกนี้ในการคัดกรองผู้ป่วยได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง และช่วยผู้ป่วยจากการตาบอดด้วยการวินิจฉัยที่ทันท่วงทีมากขึ้น การนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในชุมชนที่ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาอาจเปลี่ยนชีวิตของหลายๆ คนได้

เราควรทำงานเพื่อทำให้ทุกคนเข้าถึงประโยชน์ของ AI ได้ นอกจากการริเริ่มโครงการคัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาตามคลินิกต่างๆ ในอินเดียโดยร่วมมือกับ Verily แล้ว ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เรายังได้เริ่มทำวิจัยในประเทศไทยด้วย โดยภายในงาน AI for Social Good Summit in ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดย Google และคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (UN-ESCAP) ในวันนี้ เราได้ประกาศความร่วมมือกับโรงพยาบาลราชวิถี สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโครงการนำร่องที่ใช้ AI ในการตรวจหาภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในประเทศไทย

นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว ศักยภาพในการสร้างประโยชน์ต่อสังคมของ AI ยังครอบคลุมในด้านอื่นๆ ด้วย หลายปีที่ผ่านมา Google ได้นำงานวิจัยและวิศวกรรมด้าน AI ไปปรับใช้กับโครงการต่างๆในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมในเชิงบวก อาทิ การต่อต้านการทำประมงแบบผิดกฎหมายในอินโดนีเซีย การพยากรณ์น้ำท่วมในอินเดีย และการอนุรักษ์นกพื้นเมืองในนิวซีแลนด์ เราต้องการสนับสนุนองค์กรต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกในการใช้ AI เพื่อช่วยเหลือสังคม และจากประสบการณ์ของเรา  ไอเดียดีๆ จะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร มหาวิทยาลัย และภาคธุรกิจ

เพื่อรวบรวมไอเดียใหม่ๆ เกี่ยวกับการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เราจึงได้เปิดตัวโครงการ  Google AI Impact Challenge โดยองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการจะได้รับแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของ Google พร้อมด้วยทุนสนับสนุนจากกองทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐจาก Google.org

และเพื่อให้มั่นใจว่าทุกภาคส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีส่วนร่วมในการพัฒนา AI ด้วยความรับผิดชอบ เราได้มอบทุนสนับสนุนการสร้างเครือข่ายการวิจัยด้าน AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific AI for Social Good Research Network)  เครือข่ายนี้จะนำนักวิชาการชั้นนำจากสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (Association of Pacific Rim Universities) มารวมตัวกันเพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ AI เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม รวมทั้งสร้างกรอบการกำกับดูแล และสร้างแนวทางในการพัฒนา AI ด้วยความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังจะเป็นเวทีสำหรับนักวิจัยเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ กับภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน

Google ให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI ด้วยความรับผิดชอบมาโดยตลอด หลักการเหล่านี้เป็นแนวทางในการตัดสินใจของเราเกี่ยวกับประเภทของฟีเจอร์ที่เราควรต้องสร้างและการค้นคว้าวิจัยต่างๆ ที่เราควรต้องดำเนินการ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าอาจมีประโยชน์เช่นเดียวกับเทคโนโลยีและเครื่องมืออํานวยความสะดวกใหม่ๆ ที่ช่วยตามหาคนหาย รวมทั้งแอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่นำไปใช้ได้หลายด้าน เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยเช่นกัน เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานเป็นไปตามหลักการและค่านิยมขององค์กรของเรา และเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลกระทบในเชิงลบ เรายังได้ร่วมมือกับองค์ต่างๆ เพื่อระบุและแจกแจงความท้าทายเหล่านี้ ที่ Google เราได้พิจารณาข้อสงสัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนโยบายที่สำคัญต่างๆ ก่อนที่จะอนุญาตให้ใช้ API สำหรับการจดจำใบหน้าบน Google Cloud

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเราทุกคนแล้วว่าเราจะพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างไร เราหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการพัฒนา AI ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในเอเชียแปซิฟิก

โดย Kent Walker, Senior Vice President of Global Affairs, Google